วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอนสุดท้าย)

สำหรับเช้าวันที่ 3 ลูกทีมเราท่าทางจะหมดแรงจากเมื่อวาน จึงตื่นช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ทุกท่านก็ยังตื่นทันอาหารเช้าของรีอสอร์ทน่ะค่ะ สำหรับกิจกรรมวันนี้นั้นเป็นกิจกรรมเบา ๆ ก่อนกลับกทม. และก่อนกลับไปทำงาน เราจึงท่องเที่ยวด้วยการขับรถลงไปใต้อีกนิด เที่ยวบริเวณหาดบ้านกรูดและแวะขึ้นเขาธงชัย เพื่อสักการะพระรูปกรมหลวงชุมพร หรือที่รู้จักกันในนาม เสด็จเตี่ย (พระบิดาของทหารเรือ) บริเวณพระตำหนักกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นพระตำหนักก่ออิฐถือปูนหันหน้าออกสู่ทะเล


จากนั้นเราก็ขึ้นไปนมัสการพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ ประกอบด้วยหมู่พระเจดีย์ 9 องค์ มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานในบุษบกแกะสลักอย่างสวยงาม โดยมีพระเจดีย์ รายล้อม 4 ทิศ 8 องค์ วัดนี้อยู่ริมทะเล อยู่ในเขตอ่าวสวยงามที่บริสุทธิ์ เขาธงชัยเป็นเขาริมทะเล ลักษณะคล้ายเต่าหันหน้าคลานลงทะเล และต่างถือกันว่าศาสนสถานบนหลังเต่า เป็นมหามงคล จากนั้นเราก็ไปนมัสการพระพุทธกิติสิริชัย เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแบบศิลปะคันนธาระ มีริ้วจีวร และพระพักตร์ที่สวยงาม องค์พระก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทองมีขนาดใหญ่สูงเด่นเป็นสง่า หันพระพักตร์ ออกสู่ทะเล บริเวณโดยรอบพระพุทธกิติสิริชัย มีซุ้มรูปหล่อพระอริยสงฆ์ที่เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชน อาทิ สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี หลวงปู่ศุข หลวงพ่อสด ฯลฯ เราจึงนมัสการพระทั้งหมด เพื่อความเป็นสิริมงคล

และแล้วมันก็ถึงเวลาของกระเพาะน้อย ๆ ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เราจึงตกลงและตัดสินใจขับรถขึ้นมากินขนมจีนไก่ทอดที่ร้านครัวกรรณิการ์@หัวหิน เพราะลูกทีมเบื่ออาหารทะเลมาก และเมื่อมาถึงร้านก็ประหลาดใจมากเนื่องจากเป็นเวลาเกือบบ่ายสามแล้ว แต่ลูกค้ายังแน่นร้าน แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเราฝึกความอดทนมากันอย่างดี เราจึงสามารถรอคอยได้โดยไม่ปริปาก ผนวกกับเราเห็นบทกลอนบนรายการอาหารเราจึงต้องเก็บปากเก็บคำ และรอคอยเท่านนั้น "ทุกอย่างทำจาก ไก่ แสลงใจก็อย่าสั่ง นั่งกินอย่าเสียงดัง ตอนคิดตังค์ ดัง ๆ เลย" / "ทอดโน่น ทอดนี่..ยี่สิบ จู้จี้ งี่เง่า..เก้าสิบ กระซุบ กระซิบ..หยิบฟรี นั่งคอยดีดี..บาทเดียว" รวมทั้งได้ประจักษ์กะตา หากเรื่องมากเราคงไม่ได้โต๊ะนั่ง เพราะน้องเด็กเสิร์ฟบ่นพึมพำว่าเลือกมากก็รอไป ส่วนพี่มาทางนี้ ด้วยความเก็บปากเก็บคำ และไม่เหวี่ยง ไม่วีน เราจึงได้โต๊ะนั่งก่อนลูกค้าอีกกลุ่มที่มัวแต่เลือกที่นั่ง ได้โต๊ะแล้วก็ถึงเวลาสั่งอาหารสิคะ สั่งกันเต็มที่ กินกันเต็ม ตอนคิดตังค์ ราคาถูกจริง ๆ ด้วย และที่สำคัญอร่อยมั่กๆค่ะ หลังจากกินมือกลางวันนี้เสร็จแล้ว สมาชิกแต่ละคันก็ขอแยกทางกันกลับบ้าน ส่วนคันที่ปูเป้นั่งมาก็ต้องเอ๊กซ์ตร้าหน่อยน่ะค่ะ เนื่องจากแวะหัวหินแล้วจะไม่ให้ซึมซับบรรยากาศหัวหิน 100 ปี ได้อย่างไร เราจึงต้องขอไปแอ๊คถ่ายภาพกับหัวรถไฟ และป้ายหัวหิน ที่สถานีรถไฟหัวหินกันก่อนกลับนิดนึงน่ะค่ะ เก็บภาพเป็นที่ระลึกได้สักพักก็ถึงเวลาอำลาหัวหินกันกันแล้ว เราจึงมุ่งหน้าเข้าเมืองเพชรเพื่อแวะซื้อขนมหวานเมืองเพชรกันหน่อย ร้านที่เราแวะในครั้งนี้ ก็เป็นร้านประจำของปูเป้เองค่ะ นั่นก็คือ ขนมบ้านนันทวัน ซื้อขนมหม้อแกงและบ้าบิ่นอย่างกับจะไปขายต่อ 555 ได้ขนมหวานแล้วและที่ขาดไม่ได้ขาขึ้นเพื่อกลับกทม. คือ การแวะ Outlet ทุก Outlet ไม่เข้าใจว่าเผื่ออะไร แต่ก็ต้องแวะทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นร้านเมย์&มิ้นท์ ซึ่งแต่ก่อนเป็นร้านเล็ก ๆ จนตอนนี้เปิดเป็นร้านใหญ่เบ้อเริ่ม (Shop นี้ของราคาถูกจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า Abercromby และ Holistic) ถัดมาเราก็จะแวะ Premium Outlet (Shop นี้ได้ของเป็นบางครั้ง เนื่องจากราคาจะพอ ๆ กะห้างเวลาเซล) และอีกร้านที่ขาดไม่ได้ก็คือ Fly Now Outlet แวะ Shop นี้ทีไรได้กินทอดมันทุกที และมักจะได้กระเป๋า Fly Now กะของ Adidas ตัลหลอด แวะครบ 3 ช็อป เป็นอันว่ามาถึงเมืองเพชรของจริง 555 เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับทริปนี้ 3 วัน 2 คืน Chill สุดๆ แต่จะหายก็เมื่อรู้ว่ารุ่งขึ้นต้องกลับมาทำงาน...เฮ้อ -_-"

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอน 2)

มาแล้ว..มาแล้วค่ะ มารายงานตัวแล้วค่ะ สำหรับวันที่ 2 วันนี้เราตื่นเช้ากันสักนิดเพื่อเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการไปดำน้ำแบบ Snorkeling กันที่ เกาะทะลุ เกาะสังข์ และเกาะสิงห์ (3 เกาะมาตรฐาน น่านน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทย บริเวณปลายประจวบ ต้นชุมพร) วิธีการเตรียมความพร้อมของเรา ก็คือ การตื่นขึ้นมาแล้วรับประทานอาหารเช้าที่บ้านทรายทองเค้าจัดให้ ขอบอกคะว่าไม่ทำมะดา เนื่องจากที่นี่เค้าเสิร์ฟอาหารเช้าด้วยข้าวต้มทรงเครื่องทะเล๊..ทะเล (ปลา/หมึก/กุ้ง) ตักได้ไม่อั้น แล้วแต่ความจุกระเพาะของแต่ละท่าน แต่ที่ว่าแปลกก็คือ เค้ายกกระทะทองแดง..เอ๊ย..กระทะทอดปาท่องโก๋ใบใหญ่มากมาตั้ง แล้วก็ทอดปาท่องโก๋ให้ชมกันเห็น ๆ พร้อมท้าชิมปาท่องโก๋กรอบนอกนุ่มในชุ่มด้วยนมข้น เอ่อ..อันนี้ปูเป้ต้องแอบกระซิบค่ะว่ารับประทานไปมากมาย คล้าย ๆ จะมากกว่าปริมาณข้าวต้มที่รับเข้าไปอีกค่ะ หลังจากที่เราเติมพลังกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาเราต้องเดินทางไปดำน้ำกันแล้วคร้า แอบตื่นเต้นอีกแล้ว เนื่องจากไม่ได้ดำน้ำนาน เราขึ้นรถกระบะของทัวร์ดำน้ำออกจากบ้านทรายทอง ถึงท่าเรือใช้เวลาประมาณ 10 นาที พวกเราทุกคนก็ได้ขึ้นเรือเพื่อออกเดินทางไปสู่ 3 เกาะมาตรฐาน

เกาะทะลุ เกาะสังข์ เกาะสิงห์ เป็นเกาะขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ กัน บริเวณรอบเกาะอุดมไปด้วยปะการังน้ำตื้นสีสวย เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ปะการังดอกไม้ หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว นิยมดำน้ำชมปะการัง กัลปังหา ฝูงปลาสวยงาม อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือคายัคชมความงามรอบเกาะได้ สำหรับทริปนี้เราแค่ดำผิวน้ำกันค่ะ เจอปลานกแก้วมากมายที่มาอวดสีสันกันจ้าละหวั่น รวมทั้งหอยมือเสือผู้น่าสงสารถูกแกล้งโดยทีมงานปูเป้ตลอดเวลา (พอมันอ้าฝา เราก็ดำน้ำลงไปใกล้มัน มันก็จะรรีบหุบฝาโดยอัตโนมัติ) หลังจากดำน้ำชื่นใจแล้ว เราก็กลับขึ้นมาบนเรือค่ะ เพราะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เราเลยขึ้นมาหม่ำข้าวกลางวัน ซึ่งทางทัวร์ดำน้ำเค้าเตรียมไว้ให้ แม้จะเป็นข้าวกล่องแบบอาหารจานเดียว ก็ต้องขอบอกว่าอร่อยมาก คงเป็นเพราะใช้พลังงานไปกับการดำน้ำเยอะไปหน่อย จากนั้นเรานั่งเรือกลับเข้าฝั่ง และกลับมาพักผ่อนหย่อนใจกับสระน้ำของรีสอร์ท ว่ายน้ำจืด บรรยากาศทะเล อย่างสบายใจ เพราะสระนี้เป็นเราเท่านั้น (55 ไม่มีใครกล้าลงมาเล่นด้วยเลย ^^) กิจกรรมวันนี้ของเรายังไม่หมดนะคะ เราต้องออมแรงไว้ออกทะเลไปหาปลาหมึกกันคะ เป็นครั้งแรกของการออกทะเลไปหาหมึกของปูเป้เลยค่ะ เรานั้งเรือเล็กออกไปจากท่าเรือ เพื่อไปขึ้นเรือใหญ่สำหรับไดหมึก (ตกดึกน้ำลดก็เลยต้องต่อเรือกันนี้ดส์นึง) พอเท้าทุกท่านแตะเรือใหญ่ครบแล้ว เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังตลาดสดไดหมึกเลยค่ะ กลางทะเลสีดำ ฟ้ามืดครึ้ม แต่เรือไดหมึกทุกลำสว่างไสวไปด้วยหลอดไฟสีเขียว เพื่อล่อปลาหมึก แล้วมันก็ถูกล่อจริง ๆ ด้วย ขนาดปูเป้ไม่ตั้งใจตกหมึก เพียงแค่หย่อนเบ็ดแล้วกระตุก กระตุก โอ้วววว..แม่เจ้า ปลาหมึกยังติดเบ็ดปูเป้เลย สงสารก็สงสารอ่ะนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำไงเลยแผ่เมตตาไปให้ แค่หย่อนเบ็ดก็ติด งานนี้สมาชิกในทีมเลยได้ทำบาปกันถ้วนหน้า ผ่านขั้นตอนการตกหมึกไปแล้ว ก็ต้องถึงขั้นตอนการชิมรสชาติปลาหมึกสด เรื่องนี้กัปทันนำทีมเที่ยวของเราไม่มีพลาดค่ะ เพราะก่อนขึ้นเรือเราได้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ด (ขอแม่ครัวที่รีสอร์ทมา 55 ของฟรี) สำหรับจิ้มปลาหมึกย่าง ร้อน ๆ และที่ขาดหรือพลาดไม่ได้ คือ ซอสโชยุคิคุแมนกะวาซาบิเผ็ดร้อน สำหรับกินกับปลาหมึกสด ตอนแรกปูเป้ก็ไม่กล้าเท่าไหร่ค่ะ แต่พอเห็นหลายคนชิม กิน ทาน แล้วพูดกันพร้อมเพรียงว่า "สุโค้ย" งานนี้ไม่ลองคงเสียดาย + เสียใจ ค่ะ ปูเป้เลยต้องลองจึงได้สัมผัสกับรสหวานของปลาหมึกตัดกับรสเค็มของโชยุ ผนวกกับความเผ็ดร้อนของวาซาบิที่ขึ้นจมูก งานนี้ชิ้นเดียวเลยไม่พอ ต้องขอสองแบบน้องพลับกันเลย ตกหมึก ชิมหมึก กินลม ชมจันทร์ กันได้สักพัก ก็ถึงเวลาต้องอำลาทะเลสีดำ เพื่อกลับเข้าฝั่งแล้วเจ้าค่ะ
แต่กลับเข้าฝั่งชุมชนคนนอนดึกก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บริเวณศาลาริมทะเล นั่งเม้าท์มอยกัน โต้คลื่นและโต้ลมกันเพลินเลย ศาลาริมทะเลแต่ละหลังทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้มาพักนั่งซึมซับบรรยากาศริมทะเลได้อย่างน่ารักมากมายค่ะ ไม่ได้นั่งเสียดายแย่เลย นั่งคุยกันไปเรื่อยเจื่อยแบตฯ เริ่มหมดปูเป้ เลยต้องขอตัวกลับขึ้นห้องพักและเข้านอนก่อนคะ เพราะเรายังมีวันที่ 3 อีกค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับวันนี้กิจกรรมอัดแน่นเหลือเกิน แต่ไม่เหนื่อยอย่างที่คิดนะคะ เอาเป็นว่าปูเป้ขอพักก่อนนะคะ แล้วจะมาต่อวันที่ 3 ในเร็ววันค่ะ



ปล. เกาะทะลุ มันทะลุสมชื่อจริง ๆ ค่ะ เพราะมันทะลุเป็นรูเหมือนโดนัทเลยอ่ะ ..ถึงว่าชื่อเกาะทะลุ..

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอน 1)

..นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทองที่ฉันปองมาสู่...หลายคนคงสงสัยว่าบ้านทรายทองมีจริงรึเปล่า หรือว่ามีเพียงแต่ในนิยายเท่านั้น ครั้งนี้ปูเป้เลยขอมาเฉลยค่ะว่ามีอยู่จริง และอยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ มากนัก สามารถขับรถกินลม ชมวิว Chill Chill Style ไปได้เลยค๊า บ้านทรายทองฯ ที่ปูเป้พูดถึงนี้ตั้งอยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์นะคะ
(ถ.เพชรเกษม กม.426) เป็นรีสอร์ทติดหาดทรายสีทองที่ใช้ชื่อว่า "บ้านทรายทองบีชรีสอร์ท" ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่ให้ความรูสึกเป็นส่วนตัวเพราะคนไม่พลุกพล่าน และที่สำคัญมีกิจกรรมให้ทำมากมายคะ ไม่ว่าจะเป็นดำน้ำตื้นเพื่อชมปะการัง และฝูงปลาน่านน้ำทะเลอ่าวไทยที่มีความงามไม่แพ้ทะเลอันดามัน ยังไม่พอคะยังมีกิจกรรมไดหมึกหรือตกหมึกให้นักท่องเที่ยวได้พิสูจน์ฝีมือว่าทำบาปขึ้นรึป่าว 555

ทริปนี้ปูเป้ขอนำเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองมาถ่ายทอดเลยนะคะ เรานัดหมายกันว่าจะออกเดินทางจากกทม.ตั้งแต่ 7 โมงเช้า (ทริปนี้ไปกันหลายคน หลายคันค่ะ) เพื่อที่จะถึงที่พักในช่วงบ่าย แต่เจ้ากรรมค่ะ ลางร้ายเริ่มตั้งแต่การออกเดินทางจากบ้านไปได้ไม่เท่าไหร่ ปูเป้ก็นึกได้ว่าลืมมือถือไว้ที่บ้าน เราเลยต้องเสียเวลาวนรถกลับไปเอา (โชคดีค่ะที่ยังออกมาไม่ไกลมากนัก ^^) เนื่องด้วยออกแต่เช้าพลขับของเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเราจึงตัดสินใจแวะตลาดออเงินและ 7Eleven เพื่อหาอาหารและเสบียงกินกันในมื้อเช้า จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ถนนเพชรเกษม และแวะรับเพื่อนร่วมทริปอีก 1 ท่าน ระหว่างทาง GPS บอกว่าขับตรงไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก เราก็พักเลยค่ะ (ตามคำบอกของ GPS) ตามฟอร์มเลยค่ะแวะพักเกือบทุกปั้ม เนื่องจากเราต้องคอยเช็คเพื่อน ๆ คันอื่นด้วย เพราะรถคันที่ปูเป้นั่งเป็นกัปตันทีม ขับมาเรื่อยจนถึงเขาวังพลขับอยากแวะ เนื่องจากไปเคยขึ้นรถรางไฟฟ้า เคยแต่ขึ้นรถไฟฟ้ามาหานะเธอ เป็นเช่นนี้เราก็เลยแวะเที่ยวเขาวังเป็นที่แรกค่ะ
เขาวัง หรือ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี หนึ่งในสามวังของเมืองเพชรฯ พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 สำหรับเสด็จแปรพระราชฐาน งานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบนีโอคลาสสิกผสมไปกับงานกระเบื้องและปูนปั้นแบบจีน แต่ถ้าใครต้องการชมวิถีช่างชาวเพชรฯ ควรแวะเวียนมาช่วงวันเสาร์ เพราะจะมีการสาธิตงานช่างที่หาชมได้ยากเต็มที ไม่ว่าจะเป็นการแทงหยวก ทำหนังตะลุง หรือปูนปั้น

เดินเที่ยวกันเหนื่อยแล้ว เพื่อนพ้องก็มากันครบแล้ว มันก็ถึงเวลาที่เราควรจะรับประมานอาหารเที่ยงร่วมกันแล้วค่ะ มื้อเที่ยงนี้เรายังอยู่เมืองเพชรบุรีอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรพลาด ปลาดุกทะเลผัดฉ่า ที่ขึ้นชื่อของภัตรคารพวงเพชรนะคะ เราจึงตัดสินใจขับรถวนรอบเขาวังอีก 1 รอบ เพื่อที่มาที่ร้านนี้ และก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะว่าอาหารอร่อยตามคำร่ำลือจริง ๆ (ปูเป้การันตี แต่ขอบอกว่าผัดฉ่าเผ็ดมั่กมาก) ระหว่างทานข้าวเที่ยงสำรวจโต๊ะข้าง ๆ สั่งปลาดุกทะเลผัดฉ่าทั้งน้าน งานนี้ถ้าไม่ได้สั่งคงโดนล้อว่าไปผิดร้านแน่เลย เติมพลังมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่บ้านทรายทองฯ กันต่อเลยค่ะ ขับไปเรื่อย ๆ เลยคะ สังเกตหลักกิโลนิดนึงนะคะ เพราะรีสอร์ทที่เราจะไปพักกันนั้นอยู่ที่ กม. 426 อ้อ ! ไม่ใช่ที่ปายเท่านั้นที่ทำหลักกิโลอันใหญ่ แต่ที่ประจวบฯ เค้าก็ทำค่ะ จำได้แม่นเลยหลักกม. 425 ใหญ่เบ้อเริ่ม เห็นแล้วตกใจอยากจะขอลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเลยค่า

เห็นหลักกิโล 425 สบายใจได้เลยค่ะว่าไม่หลงแน่ เพราะอีกนิดเดียว 1 กม. เราก็เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้ารีสอร์ทได้เลยค่ะ ขับตามที่ป้ายบอกอีกอึดใจเราก็จะถึงบ้านทรายทองบีชรีสอร์ทแล้วค่ะ หน้ารีสอร์ทจะมีน้ำพุน้อย ๆ เต้นระบำคอยรับแแขกผู้มาเยือนทุกท่านคะ วันนี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายค่ะ เนื่องจากเป็นวันดีที่มีคนมาเหมารีสอร์ทจัดงานเลี้ยงแต่งงานค่ะ ขอบอกว่าจัดงานได้น่ารักมากคร้าาาา เพราะว่าทีมออแกไนซ์เค้าจุดพลุริมหาดด้วย สวยงามจริง ๆ ประกายไฟสีสันฉูดฉาดตัดกับท้องฟ้าและท้องทะเลสีดำ สะกดสายตาผู้ร่วมงานให้มองเป็นตาเดียวกัน และด้วยอานิสงค์จากงานแต่งในครั้งนี้ทำให้ปูเป้และผองเพื่อนได้ดื่มเบียร์สดกันฟรี คริคริ ชื่นใจ เอาเป็นว่าขอให้บ่าวสาวรักกันตลอดไปนะคะ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำซึ่งเป็นเมนูเดียวกับโต๊ะจีนในงานแต่ง ปูเป้และพองเพื่อนก็ต้องย้ายตัวเองไปนอนบ้านพักหลังเก่าของรีสอร์ทเนื่องจากห้องพักอื่น ๆ เค้าเอาไว้เลี้ยงรับรองแขกในงาน แต่ขอบอกว่าบ้านพักเก่าชิลสุด ๆ เลยค่ะ เป็นเรือนไม้ติดกัน 4 ห้อง มีระเบียงติดริมหาดซึ่งเป็นสถานที่เหมาะเจาะสำหรับทำกิจกรรมยามดึก ทั้งหนุ่มขี้เมาและสาวขาเม้าท์ นั่งเม้าท์นั่งมาวกันไปจากลมบกเปลี่ยนเป็นลมทะเลเราก็ตัดใจเข้านอน เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นจนหนาวใจ และก็ต้องตัดใจพักผ่อนนอนเก็บแรงไว้ลุยกับกิจกรรมวันพรุ่งนี้...แล้วจะรีบมาอัพตอนต่อไปเร็วๆนี้ค่า

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของ "ข้าว"

กลับจากการเที่ยวสระบุรี..ที่เที่ยวออกรส เมื่อครั้งที่แล้ว หลายคนคงอยากรู้หรือสงสัยว่า ข้าวเจ้าหอมนิล และ ข้าวกล้อง มีดียังไง มีประโยชน์อย่างไร ถึงทำให้ฮิดติดลมบนสำหรับเทรนรักสุขภาพ วันนี้ปูเป้เลยขอมาบอกค่ะ ว่าข้าวที่เรากินกันนั้นมีประโยชน์และดีอย่างไรค่ะ..ลองอ่านกันดูนะคะ

ข้าวจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นหมู่อาหารที่สำคัญของร่างกายเพราะเป็นกลุ่มที่ให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (simple carbohydrate) หมายถึง น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างการดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องย่อย เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นต้น อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbohydrate) เป็นอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ ใช้เวลาในการย่อยนานกว่าจะได้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่จะดูดซึมเข้าไปใช้ในการะแสเลือด ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวโพด ลูกเดือย เผือก มัน ฯลฯ

ข้าวกล้อง (Brown Rice) คืออะไร



ข้าวกล้อง คือ ผลผลิตที่ได้จากการสีข้าวเพียงครั้งเดียว เพียงแค่ให้เปลือกที่หุ้มเมล็ดข้าวอยู่นั้นหลุดออกไป ที่เหลือเป็นเนื้อหรือเมล็ดข้าว และทั้งหมดคือข้าวกล้อง ซึ่งประกอบไปด้วยเยื่อหุ้มเมล็ด จมูกข้าว และเนื้อข้าว เยื่อหุ้มเมล็ด จะมีเส้นใยอาหารสูง และมีเกลือแร่อยู่บ้าง จมูกข้าว เป็นส่วนที่มีชีวิตอุดมไปด้วยวิตามิน ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ต่าง ๆ และเป็นส่วนของข้าวที่จะเจริญเป็นต้นข้าวต่อไป เนื้อข้าว ถ้านำเมล็ดข้าวไปทำการขัดสีต่อส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวจะหลุดออก จนเหลือแต่ส่วนเนื้อข้าวสีขาว ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นแป้งที่ให้แต่พลังงานเท่านั้น

ในอดีตปัญหาการบริโภคข้าวกล้อง คือ ความแข็ง ไม่นุ่มของข้าวกล้อง และความเคยชินของผู้บริโภค การแก้ไขโดยพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะเปลือกหุ้ม endosperm นุ่ม เพื่อจะได้ข้าวกล้องที่นุ่มขึ้น และง่ายต่อการหุงต้ม ซึ่งข้าวเจ้าหอมนิลเป็นข้าวที่มีคุณลักษณะของข้าวกล้องดังกล่าว

การบริโภคข้าวกล้องดีอย่างไรการบริโภคข้าวกล้องเป็นวิถีทางหนึ่งของการบริโภคเพื่อสุขภาพ คุณค่าทางอาหารของข้าวอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ดหรือรำที่ขัดออกไป ดังนั้นการบริโภคข้าวกล้องจึงได้รับคุณค่าทางอาหารของข้าวอย่างครบสมบูรณ์ ข้าวที่ขัดขาวสวยน่ารับประทานจึงให้แค่พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเท่านั้นปราศจากคุณทางโภชนาอย่างอื่น สีของข้าวกล้องนอกจากจะสร้างความสะดุดตาแก่ผู้บริโภคแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางด้าน antioxidation อันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดความบกพร่องในร่างกาย รำเป็นสารที่ให้เยื่อใยที่เป็นประโยชน์ (dietary fiber) ซึ่งวงการแพทย์รายงานว่าเยื่อใยเหล่านี้มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และกระเพาะอาหาร ทั้งยังเป็นส่วนช่วยป้องกันการดูดซึมไขมันชนิดอิ่มตัวเข้าสู่กระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี โดยปกติแล้วร่างการเราต้องการเส้นใยอย่างน้อยวันละ 20 กรัม ข้าวกล้อง 100 กรัม มีเยื่อใย 2.1 กรัม ในขณะที่ข้าวมีเพียง 0.7 กรัม

นอกจากนี้ในข้าวกล้องยังอุดมไปด้วยวิตามินบีอีกหลายตัว ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการช่วยการทำงานของระบบประสาท สมอง ทำให้ความจำดี อารมณ์ดี ไม่เครียดง่าย ช่วยในการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยรักษาโรคเหน็บชา วิตามินอีในจมูกข้าวยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เป็นรอยตีนกา ฝ้า กระ ข้ออักเสบ ต้อกระจก หลอดเลือดอุดตัน สาเหตุของโรคหัวใจอัมพาต และโรคมะเร็ง และธาตุเหล็กที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แต่ปัญหาของการบริโภคข้างกล้อง คือ การดูดซึมน้ำเข้าสู่เมล็ดเกิดได้ยากลำบาก ทำให้ข้าวกล้องสุกยาก และแข็ง ไม่เป็นที่น่ารับประทาน ปัจจุบันยังไม่เคยมีแนวคิดในการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการบริโภคข้าวกล้องอย่างจริงจัง

ข้าวเจ้าหอมนิล (Purple Brown Rice) คืออะไร

ข้าวเจ้าหอมนิล เป็นข้าวที่ได้รับการคัดเลือกจนได้ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาว สีม่วงเข้ม ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกจะนุ่มเหนียว หอม ข้าวสารหุงสุกมีสีม่วงอ่อน นุ่ม และมีกลิ่นหอมเช่นกัน คุณสมบัติที่สำคัญของข้าวเจ้าหอมนิล คือ ข้าวกล้องมีโปรตีนสูงถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์ และยังประกอบไปด้วย ธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ นอกจากนี้ลักษณะดีเด่นของข้าวเจ้าหอมนิลที่พบนอกจากคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ ทรงต้นเตี้ย แตกกอดี เมล็ดมีน้ำหนักดี อายุสั้นเพียง 95 วัน ทำให้สามารถปลูกได้ถึง 3 ครั้ง/ปี ดังนั้นหากได้รับการจัดการที่เหมาะสมในการผลิต จะให้ผลผลิตต่อปีสูงกว่าข้าวพันธุ์อื่นๆ ข้าวหอมมะลิสีนิล เป็นข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นลูกผสมระหว่างข้าวสีนิลกับข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ได้จะมีเมล็ดยาว สีม่วงเข้ม และมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเมื่อนำไปหุงแล้วจะได้ข้าวสวยสีม่วงอ่อน ที่นุ่มและหอมมาก

ข้าวหอมมะลิสีนิล มีโปรตีนเป็น 2 เท่าของข้าวหอมมะลิ 105 และยังประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย อาทิเช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง โปแตสเซียม แคลเซียม และวิตามินบีหลายชนิด ในสารสีม่วงของข้าวหอมมะลิสีนิลมีสารประกอบที่สำคัญก็คือ "แอนโทไซยานิน" ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในองุ่นแดงและพรุน โดยที่ข้าวหอมมะลิสีนิลก็มีสารนี้อยู่มากด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบสารอาหารที่มีประโยชน์จำนวนมากที่มีในสีในเมล็ดข้าว ดังนั้นการบริโภคข้าวหอมมะลิสีนิลเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการมีสุขภาพที่ดี สารอาหารที่มีในเมล็ดข้าวนี้มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งกระเพาะอาหาร ป้องกันการดูดซึมไขมันชนิดไม่อิ่มตัว แอนโทไซยานินยังช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นและบำรุงสายตา ป้องกันมะเร็งทรวงอก, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเม็ดเลือดขาว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอทราบถึงคุณประโยชน์ของข้าวกันแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ควรเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อสุขภาพบ้างนะคะ ด้วยรักและหวังดีค่า ^^

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

One Fine Day (Session II: Final)

มาช้า..ยังดีกว่าไม่มา ตามสัญญาค่ะ ปูเป้จะพาเที่ยว กินเปรี้ยว กันต่อที่สระบุรี



อิ่มอร่อยจากมื้อเที่ยง แล้วอยากดื่มกาแฟสดแกล้มของหวานในบรรยากาศสไตล์อิตาลีท่ามกลางขุนเขา ให้ขับรถไปตามทางเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ ที่ถนนธนะรัชต์ ขับตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ 20 กิโลเมตร จะเจอทางลัดไปมวกเหล็ก (ถ้าไปทางปากช่องจะอยู่ขวามือ) เลี้ยวไปตามทางขับต่อไปอีกประมาณ 2-3 กิโลเมตร ก็จะถึงร้าน Primo Posto del Khaoyai (ของคุณพิษณุ นิลกลัดและผองเพื่อนจุฬาฯ) ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาสถาปัตยกรรมของที่นี่เป็นแบบอิตาลี ตัวตึกมีลายอิฐ สีส้มเหลืองสะดุดตา มีต้นตีนตุ๊กแกที่ขึ้นเลื้อยพันอยู่รอบตัวตึก สวยมีเสน่ห์ไปอีกแบบหลังร้านเป็นไร่องุ่นกว้างใหญ่ มีมุมสวย ๆ ให้กดชัตเตอร์กันมากมาย ซึ่งทางร้านได้เก็บค่าเข้าชมความสวย คนละ 55 บาท แต่สามารถเอาไปแลกซื้อกาแฟภายในร้านได้ ที่สำคัญร้านนี้จะเปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น

นั่งเอกเขนกกันจนหายเมื่อย แล้วขับรถมุ่งหน้าไปชมวิวกันต่อที่ เขื่อนลำตะคอง ระหว่างทางมี ร้านบ้านไม้เขาใหญ่ ร้านขายของแต่งบ้านสวย ๆ ทั้งเฟอร์นิเจอร์งานไม้ เครื่องปั้นดินเผาสไตล์คันทรี่ มีให้เลือกซื้อชม จากนั้นเดินทางไปเที่ยวที่เขื่อนลำตะคองชมวิวริมเขื่อนบรรยากาศร่มรื่น มีสวนริมทางไว้ให้พักผ่อนหย่อนใจ หากใช้เส้นทางถนนมิตรภาพ จะต้องผ่านวิวสวย ๆ ของเขื่อนแห่งนี้แน่นอน เมื่อแดดร่มลมตกแล้ว ออกจากสระบุรี เลี้ยวขวามุ่งสู่โคราช กม. 196 ระหว่างอำเภอปากช่องและเขตอำเภอสี่คิ้วเลี้ยวขวาตรงเข้าไปที่ทางขึ้นเขายายเที่ยงแวะดินเนอร์ยามเย็น ดูพระอาทิตย์ตกดินกันแบบใกล้ชิดที่ ร้านสวนเมืองพร สุดแสนจะโรแมนติกเกินใคร แถมได้ชมวิวอ่างเก็บน้ำลำตะคองที่เป็นภาพกว้างแบบพานอรามาได้อีกมุมหนึ่ง สวนเมืองพรมีเมนูอาหารหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ คือ สเต็กป่าจานร้อนเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง รวมถึงอาหารอีสานทั้งส้มตำปูปลาร้ารสเด็ด ต้มแซ่บหมู แลคอหมุย่างติดมันหน่อย ๆ รับประทานอาหารไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ที่กำลังยอแสงสีทองระบายฟากฟ้ายามเย็นเหนืออ่างเก็บน้ำลำตะคองสุนทรีย์แบบนี้คงหาที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่


ส่วนใครที่ชอบปลูกต้นไม้ สวนเมืองพรยังมีแปลงไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิดให้เลือกซื้อหากันได้ มีรถเข็นไว้บริการให้กับคนที่ซื้อเยอะ ๆ เรียกได้ว่าเป็นซุปเปอร์มาณเก็ตต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ราคาย่อมเยาเลยทีเดียว เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับทริปนี้ นอกจากจะได้กินเที่ยว เปรี้ยวปากกันแล้ว ยังได้ชมวิวทิวทัศน์ที่หลากหลายสไตล์ เอาเป็นว่าเสาร์-อาทิตย์ ถ้าว่างอย่าลืมตามรอยที่เที่ยวออกรสนะคะ