วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอน 2)

มาแล้ว..มาแล้วค่ะ มารายงานตัวแล้วค่ะ สำหรับวันที่ 2 วันนี้เราตื่นเช้ากันสักนิดเพื่อเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการไปดำน้ำแบบ Snorkeling กันที่ เกาะทะลุ เกาะสังข์ และเกาะสิงห์ (3 เกาะมาตรฐาน น่านน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทย บริเวณปลายประจวบ ต้นชุมพร) วิธีการเตรียมความพร้อมของเรา ก็คือ การตื่นขึ้นมาแล้วรับประทานอาหารเช้าที่บ้านทรายทองเค้าจัดให้ ขอบอกคะว่าไม่ทำมะดา เนื่องจากที่นี่เค้าเสิร์ฟอาหารเช้าด้วยข้าวต้มทรงเครื่องทะเล๊..ทะเล (ปลา/หมึก/กุ้ง) ตักได้ไม่อั้น แล้วแต่ความจุกระเพาะของแต่ละท่าน แต่ที่ว่าแปลกก็คือ เค้ายกกระทะทองแดง..เอ๊ย..กระทะทอดปาท่องโก๋ใบใหญ่มากมาตั้ง แล้วก็ทอดปาท่องโก๋ให้ชมกันเห็น ๆ พร้อมท้าชิมปาท่องโก๋กรอบนอกนุ่มในชุ่มด้วยนมข้น เอ่อ..อันนี้ปูเป้ต้องแอบกระซิบค่ะว่ารับประทานไปมากมาย คล้าย ๆ จะมากกว่าปริมาณข้าวต้มที่รับเข้าไปอีกค่ะ หลังจากที่เราเติมพลังกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาเราต้องเดินทางไปดำน้ำกันแล้วคร้า แอบตื่นเต้นอีกแล้ว เนื่องจากไม่ได้ดำน้ำนาน เราขึ้นรถกระบะของทัวร์ดำน้ำออกจากบ้านทรายทอง ถึงท่าเรือใช้เวลาประมาณ 10 นาที พวกเราทุกคนก็ได้ขึ้นเรือเพื่อออกเดินทางไปสู่ 3 เกาะมาตรฐาน

เกาะทะลุ เกาะสังข์ เกาะสิงห์ เป็นเกาะขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ กัน บริเวณรอบเกาะอุดมไปด้วยปะการังน้ำตื้นสีสวย เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ปะการังดอกไม้ หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว นิยมดำน้ำชมปะการัง กัลปังหา ฝูงปลาสวยงาม อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือคายัคชมความงามรอบเกาะได้ สำหรับทริปนี้เราแค่ดำผิวน้ำกันค่ะ เจอปลานกแก้วมากมายที่มาอวดสีสันกันจ้าละหวั่น รวมทั้งหอยมือเสือผู้น่าสงสารถูกแกล้งโดยทีมงานปูเป้ตลอดเวลา (พอมันอ้าฝา เราก็ดำน้ำลงไปใกล้มัน มันก็จะรรีบหุบฝาโดยอัตโนมัติ) หลังจากดำน้ำชื่นใจแล้ว เราก็กลับขึ้นมาบนเรือค่ะ เพราะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เราเลยขึ้นมาหม่ำข้าวกลางวัน ซึ่งทางทัวร์ดำน้ำเค้าเตรียมไว้ให้ แม้จะเป็นข้าวกล่องแบบอาหารจานเดียว ก็ต้องขอบอกว่าอร่อยมาก คงเป็นเพราะใช้พลังงานไปกับการดำน้ำเยอะไปหน่อย จากนั้นเรานั่งเรือกลับเข้าฝั่ง และกลับมาพักผ่อนหย่อนใจกับสระน้ำของรีสอร์ท ว่ายน้ำจืด บรรยากาศทะเล อย่างสบายใจ เพราะสระนี้เป็นเราเท่านั้น (55 ไม่มีใครกล้าลงมาเล่นด้วยเลย ^^) กิจกรรมวันนี้ของเรายังไม่หมดนะคะ เราต้องออมแรงไว้ออกทะเลไปหาปลาหมึกกันคะ เป็นครั้งแรกของการออกทะเลไปหาหมึกของปูเป้เลยค่ะ เรานั้งเรือเล็กออกไปจากท่าเรือ เพื่อไปขึ้นเรือใหญ่สำหรับไดหมึก (ตกดึกน้ำลดก็เลยต้องต่อเรือกันนี้ดส์นึง) พอเท้าทุกท่านแตะเรือใหญ่ครบแล้ว เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังตลาดสดไดหมึกเลยค่ะ กลางทะเลสีดำ ฟ้ามืดครึ้ม แต่เรือไดหมึกทุกลำสว่างไสวไปด้วยหลอดไฟสีเขียว เพื่อล่อปลาหมึก แล้วมันก็ถูกล่อจริง ๆ ด้วย ขนาดปูเป้ไม่ตั้งใจตกหมึก เพียงแค่หย่อนเบ็ดแล้วกระตุก กระตุก โอ้วววว..แม่เจ้า ปลาหมึกยังติดเบ็ดปูเป้เลย สงสารก็สงสารอ่ะนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำไงเลยแผ่เมตตาไปให้ แค่หย่อนเบ็ดก็ติด งานนี้สมาชิกในทีมเลยได้ทำบาปกันถ้วนหน้า ผ่านขั้นตอนการตกหมึกไปแล้ว ก็ต้องถึงขั้นตอนการชิมรสชาติปลาหมึกสด เรื่องนี้กัปทันนำทีมเที่ยวของเราไม่มีพลาดค่ะ เพราะก่อนขึ้นเรือเราได้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ด (ขอแม่ครัวที่รีสอร์ทมา 55 ของฟรี) สำหรับจิ้มปลาหมึกย่าง ร้อน ๆ และที่ขาดหรือพลาดไม่ได้ คือ ซอสโชยุคิคุแมนกะวาซาบิเผ็ดร้อน สำหรับกินกับปลาหมึกสด ตอนแรกปูเป้ก็ไม่กล้าเท่าไหร่ค่ะ แต่พอเห็นหลายคนชิม กิน ทาน แล้วพูดกันพร้อมเพรียงว่า "สุโค้ย" งานนี้ไม่ลองคงเสียดาย + เสียใจ ค่ะ ปูเป้เลยต้องลองจึงได้สัมผัสกับรสหวานของปลาหมึกตัดกับรสเค็มของโชยุ ผนวกกับความเผ็ดร้อนของวาซาบิที่ขึ้นจมูก งานนี้ชิ้นเดียวเลยไม่พอ ต้องขอสองแบบน้องพลับกันเลย ตกหมึก ชิมหมึก กินลม ชมจันทร์ กันได้สักพัก ก็ถึงเวลาต้องอำลาทะเลสีดำ เพื่อกลับเข้าฝั่งแล้วเจ้าค่ะ
แต่กลับเข้าฝั่งชุมชนคนนอนดึกก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บริเวณศาลาริมทะเล นั่งเม้าท์มอยกัน โต้คลื่นและโต้ลมกันเพลินเลย ศาลาริมทะเลแต่ละหลังทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้มาพักนั่งซึมซับบรรยากาศริมทะเลได้อย่างน่ารักมากมายค่ะ ไม่ได้นั่งเสียดายแย่เลย นั่งคุยกันไปเรื่อยเจื่อยแบตฯ เริ่มหมดปูเป้ เลยต้องขอตัวกลับขึ้นห้องพักและเข้านอนก่อนคะ เพราะเรายังมีวันที่ 3 อีกค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับวันนี้กิจกรรมอัดแน่นเหลือเกิน แต่ไม่เหนื่อยอย่างที่คิดนะคะ เอาเป็นว่าปูเป้ขอพักก่อนนะคะ แล้วจะมาต่อวันที่ 3 ในเร็ววันค่ะ



ปล. เกาะทะลุ มันทะลุสมชื่อจริง ๆ ค่ะ เพราะมันทะลุเป็นรูเหมือนโดนัทเลยอ่ะ ..ถึงว่าชื่อเกาะทะลุ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น