วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอนสุดท้าย)

สำหรับเช้าวันที่ 3 ลูกทีมเราท่าทางจะหมดแรงจากเมื่อวาน จึงตื่นช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ทุกท่านก็ยังตื่นทันอาหารเช้าของรีอสอร์ทน่ะค่ะ สำหรับกิจกรรมวันนี้นั้นเป็นกิจกรรมเบา ๆ ก่อนกลับกทม. และก่อนกลับไปทำงาน เราจึงท่องเที่ยวด้วยการขับรถลงไปใต้อีกนิด เที่ยวบริเวณหาดบ้านกรูดและแวะขึ้นเขาธงชัย เพื่อสักการะพระรูปกรมหลวงชุมพร หรือที่รู้จักกันในนาม เสด็จเตี่ย (พระบิดาของทหารเรือ) บริเวณพระตำหนักกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นพระตำหนักก่ออิฐถือปูนหันหน้าออกสู่ทะเล


จากนั้นเราก็ขึ้นไปนมัสการพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ ประกอบด้วยหมู่พระเจดีย์ 9 องค์ มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานในบุษบกแกะสลักอย่างสวยงาม โดยมีพระเจดีย์ รายล้อม 4 ทิศ 8 องค์ วัดนี้อยู่ริมทะเล อยู่ในเขตอ่าวสวยงามที่บริสุทธิ์ เขาธงชัยเป็นเขาริมทะเล ลักษณะคล้ายเต่าหันหน้าคลานลงทะเล และต่างถือกันว่าศาสนสถานบนหลังเต่า เป็นมหามงคล จากนั้นเราก็ไปนมัสการพระพุทธกิติสิริชัย เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแบบศิลปะคันนธาระ มีริ้วจีวร และพระพักตร์ที่สวยงาม องค์พระก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทองมีขนาดใหญ่สูงเด่นเป็นสง่า หันพระพักตร์ ออกสู่ทะเล บริเวณโดยรอบพระพุทธกิติสิริชัย มีซุ้มรูปหล่อพระอริยสงฆ์ที่เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชน อาทิ สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี หลวงปู่ศุข หลวงพ่อสด ฯลฯ เราจึงนมัสการพระทั้งหมด เพื่อความเป็นสิริมงคล

และแล้วมันก็ถึงเวลาของกระเพาะน้อย ๆ ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เราจึงตกลงและตัดสินใจขับรถขึ้นมากินขนมจีนไก่ทอดที่ร้านครัวกรรณิการ์@หัวหิน เพราะลูกทีมเบื่ออาหารทะเลมาก และเมื่อมาถึงร้านก็ประหลาดใจมากเนื่องจากเป็นเวลาเกือบบ่ายสามแล้ว แต่ลูกค้ายังแน่นร้าน แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเราฝึกความอดทนมากันอย่างดี เราจึงสามารถรอคอยได้โดยไม่ปริปาก ผนวกกับเราเห็นบทกลอนบนรายการอาหารเราจึงต้องเก็บปากเก็บคำ และรอคอยเท่านนั้น "ทุกอย่างทำจาก ไก่ แสลงใจก็อย่าสั่ง นั่งกินอย่าเสียงดัง ตอนคิดตังค์ ดัง ๆ เลย" / "ทอดโน่น ทอดนี่..ยี่สิบ จู้จี้ งี่เง่า..เก้าสิบ กระซุบ กระซิบ..หยิบฟรี นั่งคอยดีดี..บาทเดียว" รวมทั้งได้ประจักษ์กะตา หากเรื่องมากเราคงไม่ได้โต๊ะนั่ง เพราะน้องเด็กเสิร์ฟบ่นพึมพำว่าเลือกมากก็รอไป ส่วนพี่มาทางนี้ ด้วยความเก็บปากเก็บคำ และไม่เหวี่ยง ไม่วีน เราจึงได้โต๊ะนั่งก่อนลูกค้าอีกกลุ่มที่มัวแต่เลือกที่นั่ง ได้โต๊ะแล้วก็ถึงเวลาสั่งอาหารสิคะ สั่งกันเต็มที่ กินกันเต็ม ตอนคิดตังค์ ราคาถูกจริง ๆ ด้วย และที่สำคัญอร่อยมั่กๆค่ะ หลังจากกินมือกลางวันนี้เสร็จแล้ว สมาชิกแต่ละคันก็ขอแยกทางกันกลับบ้าน ส่วนคันที่ปูเป้นั่งมาก็ต้องเอ๊กซ์ตร้าหน่อยน่ะค่ะ เนื่องจากแวะหัวหินแล้วจะไม่ให้ซึมซับบรรยากาศหัวหิน 100 ปี ได้อย่างไร เราจึงต้องขอไปแอ๊คถ่ายภาพกับหัวรถไฟ และป้ายหัวหิน ที่สถานีรถไฟหัวหินกันก่อนกลับนิดนึงน่ะค่ะ เก็บภาพเป็นที่ระลึกได้สักพักก็ถึงเวลาอำลาหัวหินกันกันแล้ว เราจึงมุ่งหน้าเข้าเมืองเพชรเพื่อแวะซื้อขนมหวานเมืองเพชรกันหน่อย ร้านที่เราแวะในครั้งนี้ ก็เป็นร้านประจำของปูเป้เองค่ะ นั่นก็คือ ขนมบ้านนันทวัน ซื้อขนมหม้อแกงและบ้าบิ่นอย่างกับจะไปขายต่อ 555 ได้ขนมหวานแล้วและที่ขาดไม่ได้ขาขึ้นเพื่อกลับกทม. คือ การแวะ Outlet ทุก Outlet ไม่เข้าใจว่าเผื่ออะไร แต่ก็ต้องแวะทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นร้านเมย์&มิ้นท์ ซึ่งแต่ก่อนเป็นร้านเล็ก ๆ จนตอนนี้เปิดเป็นร้านใหญ่เบ้อเริ่ม (Shop นี้ของราคาถูกจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า Abercromby และ Holistic) ถัดมาเราก็จะแวะ Premium Outlet (Shop นี้ได้ของเป็นบางครั้ง เนื่องจากราคาจะพอ ๆ กะห้างเวลาเซล) และอีกร้านที่ขาดไม่ได้ก็คือ Fly Now Outlet แวะ Shop นี้ทีไรได้กินทอดมันทุกที และมักจะได้กระเป๋า Fly Now กะของ Adidas ตัลหลอด แวะครบ 3 ช็อป เป็นอันว่ามาถึงเมืองเพชรของจริง 555 เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับทริปนี้ 3 วัน 2 คืน Chill สุดๆ แต่จะหายก็เมื่อรู้ว่ารุ่งขึ้นต้องกลับมาทำงาน...เฮ้อ -_-"

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอน 2)

มาแล้ว..มาแล้วค่ะ มารายงานตัวแล้วค่ะ สำหรับวันที่ 2 วันนี้เราตื่นเช้ากันสักนิดเพื่อเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการไปดำน้ำแบบ Snorkeling กันที่ เกาะทะลุ เกาะสังข์ และเกาะสิงห์ (3 เกาะมาตรฐาน น่านน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทย บริเวณปลายประจวบ ต้นชุมพร) วิธีการเตรียมความพร้อมของเรา ก็คือ การตื่นขึ้นมาแล้วรับประทานอาหารเช้าที่บ้านทรายทองเค้าจัดให้ ขอบอกคะว่าไม่ทำมะดา เนื่องจากที่นี่เค้าเสิร์ฟอาหารเช้าด้วยข้าวต้มทรงเครื่องทะเล๊..ทะเล (ปลา/หมึก/กุ้ง) ตักได้ไม่อั้น แล้วแต่ความจุกระเพาะของแต่ละท่าน แต่ที่ว่าแปลกก็คือ เค้ายกกระทะทองแดง..เอ๊ย..กระทะทอดปาท่องโก๋ใบใหญ่มากมาตั้ง แล้วก็ทอดปาท่องโก๋ให้ชมกันเห็น ๆ พร้อมท้าชิมปาท่องโก๋กรอบนอกนุ่มในชุ่มด้วยนมข้น เอ่อ..อันนี้ปูเป้ต้องแอบกระซิบค่ะว่ารับประทานไปมากมาย คล้าย ๆ จะมากกว่าปริมาณข้าวต้มที่รับเข้าไปอีกค่ะ หลังจากที่เราเติมพลังกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาเราต้องเดินทางไปดำน้ำกันแล้วคร้า แอบตื่นเต้นอีกแล้ว เนื่องจากไม่ได้ดำน้ำนาน เราขึ้นรถกระบะของทัวร์ดำน้ำออกจากบ้านทรายทอง ถึงท่าเรือใช้เวลาประมาณ 10 นาที พวกเราทุกคนก็ได้ขึ้นเรือเพื่อออกเดินทางไปสู่ 3 เกาะมาตรฐาน

เกาะทะลุ เกาะสังข์ เกาะสิงห์ เป็นเกาะขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ กัน บริเวณรอบเกาะอุดมไปด้วยปะการังน้ำตื้นสีสวย เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ปะการังดอกไม้ หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว นิยมดำน้ำชมปะการัง กัลปังหา ฝูงปลาสวยงาม อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือคายัคชมความงามรอบเกาะได้ สำหรับทริปนี้เราแค่ดำผิวน้ำกันค่ะ เจอปลานกแก้วมากมายที่มาอวดสีสันกันจ้าละหวั่น รวมทั้งหอยมือเสือผู้น่าสงสารถูกแกล้งโดยทีมงานปูเป้ตลอดเวลา (พอมันอ้าฝา เราก็ดำน้ำลงไปใกล้มัน มันก็จะรรีบหุบฝาโดยอัตโนมัติ) หลังจากดำน้ำชื่นใจแล้ว เราก็กลับขึ้นมาบนเรือค่ะ เพราะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เราเลยขึ้นมาหม่ำข้าวกลางวัน ซึ่งทางทัวร์ดำน้ำเค้าเตรียมไว้ให้ แม้จะเป็นข้าวกล่องแบบอาหารจานเดียว ก็ต้องขอบอกว่าอร่อยมาก คงเป็นเพราะใช้พลังงานไปกับการดำน้ำเยอะไปหน่อย จากนั้นเรานั่งเรือกลับเข้าฝั่ง และกลับมาพักผ่อนหย่อนใจกับสระน้ำของรีสอร์ท ว่ายน้ำจืด บรรยากาศทะเล อย่างสบายใจ เพราะสระนี้เป็นเราเท่านั้น (55 ไม่มีใครกล้าลงมาเล่นด้วยเลย ^^) กิจกรรมวันนี้ของเรายังไม่หมดนะคะ เราต้องออมแรงไว้ออกทะเลไปหาปลาหมึกกันคะ เป็นครั้งแรกของการออกทะเลไปหาหมึกของปูเป้เลยค่ะ เรานั้งเรือเล็กออกไปจากท่าเรือ เพื่อไปขึ้นเรือใหญ่สำหรับไดหมึก (ตกดึกน้ำลดก็เลยต้องต่อเรือกันนี้ดส์นึง) พอเท้าทุกท่านแตะเรือใหญ่ครบแล้ว เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังตลาดสดไดหมึกเลยค่ะ กลางทะเลสีดำ ฟ้ามืดครึ้ม แต่เรือไดหมึกทุกลำสว่างไสวไปด้วยหลอดไฟสีเขียว เพื่อล่อปลาหมึก แล้วมันก็ถูกล่อจริง ๆ ด้วย ขนาดปูเป้ไม่ตั้งใจตกหมึก เพียงแค่หย่อนเบ็ดแล้วกระตุก กระตุก โอ้วววว..แม่เจ้า ปลาหมึกยังติดเบ็ดปูเป้เลย สงสารก็สงสารอ่ะนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำไงเลยแผ่เมตตาไปให้ แค่หย่อนเบ็ดก็ติด งานนี้สมาชิกในทีมเลยได้ทำบาปกันถ้วนหน้า ผ่านขั้นตอนการตกหมึกไปแล้ว ก็ต้องถึงขั้นตอนการชิมรสชาติปลาหมึกสด เรื่องนี้กัปทันนำทีมเที่ยวของเราไม่มีพลาดค่ะ เพราะก่อนขึ้นเรือเราได้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ด (ขอแม่ครัวที่รีสอร์ทมา 55 ของฟรี) สำหรับจิ้มปลาหมึกย่าง ร้อน ๆ และที่ขาดหรือพลาดไม่ได้ คือ ซอสโชยุคิคุแมนกะวาซาบิเผ็ดร้อน สำหรับกินกับปลาหมึกสด ตอนแรกปูเป้ก็ไม่กล้าเท่าไหร่ค่ะ แต่พอเห็นหลายคนชิม กิน ทาน แล้วพูดกันพร้อมเพรียงว่า "สุโค้ย" งานนี้ไม่ลองคงเสียดาย + เสียใจ ค่ะ ปูเป้เลยต้องลองจึงได้สัมผัสกับรสหวานของปลาหมึกตัดกับรสเค็มของโชยุ ผนวกกับความเผ็ดร้อนของวาซาบิที่ขึ้นจมูก งานนี้ชิ้นเดียวเลยไม่พอ ต้องขอสองแบบน้องพลับกันเลย ตกหมึก ชิมหมึก กินลม ชมจันทร์ กันได้สักพัก ก็ถึงเวลาต้องอำลาทะเลสีดำ เพื่อกลับเข้าฝั่งแล้วเจ้าค่ะ
แต่กลับเข้าฝั่งชุมชนคนนอนดึกก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บริเวณศาลาริมทะเล นั่งเม้าท์มอยกัน โต้คลื่นและโต้ลมกันเพลินเลย ศาลาริมทะเลแต่ละหลังทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้มาพักนั่งซึมซับบรรยากาศริมทะเลได้อย่างน่ารักมากมายค่ะ ไม่ได้นั่งเสียดายแย่เลย นั่งคุยกันไปเรื่อยเจื่อยแบตฯ เริ่มหมดปูเป้ เลยต้องขอตัวกลับขึ้นห้องพักและเข้านอนก่อนคะ เพราะเรายังมีวันที่ 3 อีกค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับวันนี้กิจกรรมอัดแน่นเหลือเกิน แต่ไม่เหนื่อยอย่างที่คิดนะคะ เอาเป็นว่าปูเป้ขอพักก่อนนะคะ แล้วจะมาต่อวันที่ 3 ในเร็ววันค่ะ



ปล. เกาะทะลุ มันทะลุสมชื่อจริง ๆ ค่ะ เพราะมันทะลุเป็นรูเหมือนโดนัทเลยอ่ะ ..ถึงว่าชื่อเกาะทะลุ..

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ้านทรายทอง..บีชรีสอร์ท (ตอน 1)

..นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทองที่ฉันปองมาสู่...หลายคนคงสงสัยว่าบ้านทรายทองมีจริงรึเปล่า หรือว่ามีเพียงแต่ในนิยายเท่านั้น ครั้งนี้ปูเป้เลยขอมาเฉลยค่ะว่ามีอยู่จริง และอยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ มากนัก สามารถขับรถกินลม ชมวิว Chill Chill Style ไปได้เลยค๊า บ้านทรายทองฯ ที่ปูเป้พูดถึงนี้ตั้งอยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์นะคะ
(ถ.เพชรเกษม กม.426) เป็นรีสอร์ทติดหาดทรายสีทองที่ใช้ชื่อว่า "บ้านทรายทองบีชรีสอร์ท" ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่ให้ความรูสึกเป็นส่วนตัวเพราะคนไม่พลุกพล่าน และที่สำคัญมีกิจกรรมให้ทำมากมายคะ ไม่ว่าจะเป็นดำน้ำตื้นเพื่อชมปะการัง และฝูงปลาน่านน้ำทะเลอ่าวไทยที่มีความงามไม่แพ้ทะเลอันดามัน ยังไม่พอคะยังมีกิจกรรมไดหมึกหรือตกหมึกให้นักท่องเที่ยวได้พิสูจน์ฝีมือว่าทำบาปขึ้นรึป่าว 555

ทริปนี้ปูเป้ขอนำเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองมาถ่ายทอดเลยนะคะ เรานัดหมายกันว่าจะออกเดินทางจากกทม.ตั้งแต่ 7 โมงเช้า (ทริปนี้ไปกันหลายคน หลายคันค่ะ) เพื่อที่จะถึงที่พักในช่วงบ่าย แต่เจ้ากรรมค่ะ ลางร้ายเริ่มตั้งแต่การออกเดินทางจากบ้านไปได้ไม่เท่าไหร่ ปูเป้ก็นึกได้ว่าลืมมือถือไว้ที่บ้าน เราเลยต้องเสียเวลาวนรถกลับไปเอา (โชคดีค่ะที่ยังออกมาไม่ไกลมากนัก ^^) เนื่องด้วยออกแต่เช้าพลขับของเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเราจึงตัดสินใจแวะตลาดออเงินและ 7Eleven เพื่อหาอาหารและเสบียงกินกันในมื้อเช้า จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ถนนเพชรเกษม และแวะรับเพื่อนร่วมทริปอีก 1 ท่าน ระหว่างทาง GPS บอกว่าขับตรงไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก เราก็พักเลยค่ะ (ตามคำบอกของ GPS) ตามฟอร์มเลยค่ะแวะพักเกือบทุกปั้ม เนื่องจากเราต้องคอยเช็คเพื่อน ๆ คันอื่นด้วย เพราะรถคันที่ปูเป้นั่งเป็นกัปตันทีม ขับมาเรื่อยจนถึงเขาวังพลขับอยากแวะ เนื่องจากไปเคยขึ้นรถรางไฟฟ้า เคยแต่ขึ้นรถไฟฟ้ามาหานะเธอ เป็นเช่นนี้เราก็เลยแวะเที่ยวเขาวังเป็นที่แรกค่ะ
เขาวัง หรือ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี หนึ่งในสามวังของเมืองเพชรฯ พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 สำหรับเสด็จแปรพระราชฐาน งานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบนีโอคลาสสิกผสมไปกับงานกระเบื้องและปูนปั้นแบบจีน แต่ถ้าใครต้องการชมวิถีช่างชาวเพชรฯ ควรแวะเวียนมาช่วงวันเสาร์ เพราะจะมีการสาธิตงานช่างที่หาชมได้ยากเต็มที ไม่ว่าจะเป็นการแทงหยวก ทำหนังตะลุง หรือปูนปั้น

เดินเที่ยวกันเหนื่อยแล้ว เพื่อนพ้องก็มากันครบแล้ว มันก็ถึงเวลาที่เราควรจะรับประมานอาหารเที่ยงร่วมกันแล้วค่ะ มื้อเที่ยงนี้เรายังอยู่เมืองเพชรบุรีอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรพลาด ปลาดุกทะเลผัดฉ่า ที่ขึ้นชื่อของภัตรคารพวงเพชรนะคะ เราจึงตัดสินใจขับรถวนรอบเขาวังอีก 1 รอบ เพื่อที่มาที่ร้านนี้ และก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะว่าอาหารอร่อยตามคำร่ำลือจริง ๆ (ปูเป้การันตี แต่ขอบอกว่าผัดฉ่าเผ็ดมั่กมาก) ระหว่างทานข้าวเที่ยงสำรวจโต๊ะข้าง ๆ สั่งปลาดุกทะเลผัดฉ่าทั้งน้าน งานนี้ถ้าไม่ได้สั่งคงโดนล้อว่าไปผิดร้านแน่เลย เติมพลังมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่บ้านทรายทองฯ กันต่อเลยค่ะ ขับไปเรื่อย ๆ เลยคะ สังเกตหลักกิโลนิดนึงนะคะ เพราะรีสอร์ทที่เราจะไปพักกันนั้นอยู่ที่ กม. 426 อ้อ ! ไม่ใช่ที่ปายเท่านั้นที่ทำหลักกิโลอันใหญ่ แต่ที่ประจวบฯ เค้าก็ทำค่ะ จำได้แม่นเลยหลักกม. 425 ใหญ่เบ้อเริ่ม เห็นแล้วตกใจอยากจะขอลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเลยค่า

เห็นหลักกิโล 425 สบายใจได้เลยค่ะว่าไม่หลงแน่ เพราะอีกนิดเดียว 1 กม. เราก็เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้ารีสอร์ทได้เลยค่ะ ขับตามที่ป้ายบอกอีกอึดใจเราก็จะถึงบ้านทรายทองบีชรีสอร์ทแล้วค่ะ หน้ารีสอร์ทจะมีน้ำพุน้อย ๆ เต้นระบำคอยรับแแขกผู้มาเยือนทุกท่านคะ วันนี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายค่ะ เนื่องจากเป็นวันดีที่มีคนมาเหมารีสอร์ทจัดงานเลี้ยงแต่งงานค่ะ ขอบอกว่าจัดงานได้น่ารักมากคร้าาาา เพราะว่าทีมออแกไนซ์เค้าจุดพลุริมหาดด้วย สวยงามจริง ๆ ประกายไฟสีสันฉูดฉาดตัดกับท้องฟ้าและท้องทะเลสีดำ สะกดสายตาผู้ร่วมงานให้มองเป็นตาเดียวกัน และด้วยอานิสงค์จากงานแต่งในครั้งนี้ทำให้ปูเป้และผองเพื่อนได้ดื่มเบียร์สดกันฟรี คริคริ ชื่นใจ เอาเป็นว่าขอให้บ่าวสาวรักกันตลอดไปนะคะ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำซึ่งเป็นเมนูเดียวกับโต๊ะจีนในงานแต่ง ปูเป้และพองเพื่อนก็ต้องย้ายตัวเองไปนอนบ้านพักหลังเก่าของรีสอร์ทเนื่องจากห้องพักอื่น ๆ เค้าเอาไว้เลี้ยงรับรองแขกในงาน แต่ขอบอกว่าบ้านพักเก่าชิลสุด ๆ เลยค่ะ เป็นเรือนไม้ติดกัน 4 ห้อง มีระเบียงติดริมหาดซึ่งเป็นสถานที่เหมาะเจาะสำหรับทำกิจกรรมยามดึก ทั้งหนุ่มขี้เมาและสาวขาเม้าท์ นั่งเม้าท์นั่งมาวกันไปจากลมบกเปลี่ยนเป็นลมทะเลเราก็ตัดใจเข้านอน เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นจนหนาวใจ และก็ต้องตัดใจพักผ่อนนอนเก็บแรงไว้ลุยกับกิจกรรมวันพรุ่งนี้...แล้วจะรีบมาอัพตอนต่อไปเร็วๆนี้ค่า

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของ "ข้าว"

กลับจากการเที่ยวสระบุรี..ที่เที่ยวออกรส เมื่อครั้งที่แล้ว หลายคนคงอยากรู้หรือสงสัยว่า ข้าวเจ้าหอมนิล และ ข้าวกล้อง มีดียังไง มีประโยชน์อย่างไร ถึงทำให้ฮิดติดลมบนสำหรับเทรนรักสุขภาพ วันนี้ปูเป้เลยขอมาบอกค่ะ ว่าข้าวที่เรากินกันนั้นมีประโยชน์และดีอย่างไรค่ะ..ลองอ่านกันดูนะคะ

ข้าวจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นหมู่อาหารที่สำคัญของร่างกายเพราะเป็นกลุ่มที่ให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (simple carbohydrate) หมายถึง น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างการดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องย่อย เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นต้น อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbohydrate) เป็นอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ ใช้เวลาในการย่อยนานกว่าจะได้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่จะดูดซึมเข้าไปใช้ในการะแสเลือด ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวโพด ลูกเดือย เผือก มัน ฯลฯ

ข้าวกล้อง (Brown Rice) คืออะไร



ข้าวกล้อง คือ ผลผลิตที่ได้จากการสีข้าวเพียงครั้งเดียว เพียงแค่ให้เปลือกที่หุ้มเมล็ดข้าวอยู่นั้นหลุดออกไป ที่เหลือเป็นเนื้อหรือเมล็ดข้าว และทั้งหมดคือข้าวกล้อง ซึ่งประกอบไปด้วยเยื่อหุ้มเมล็ด จมูกข้าว และเนื้อข้าว เยื่อหุ้มเมล็ด จะมีเส้นใยอาหารสูง และมีเกลือแร่อยู่บ้าง จมูกข้าว เป็นส่วนที่มีชีวิตอุดมไปด้วยวิตามิน ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ต่าง ๆ และเป็นส่วนของข้าวที่จะเจริญเป็นต้นข้าวต่อไป เนื้อข้าว ถ้านำเมล็ดข้าวไปทำการขัดสีต่อส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวจะหลุดออก จนเหลือแต่ส่วนเนื้อข้าวสีขาว ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นแป้งที่ให้แต่พลังงานเท่านั้น

ในอดีตปัญหาการบริโภคข้าวกล้อง คือ ความแข็ง ไม่นุ่มของข้าวกล้อง และความเคยชินของผู้บริโภค การแก้ไขโดยพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะเปลือกหุ้ม endosperm นุ่ม เพื่อจะได้ข้าวกล้องที่นุ่มขึ้น และง่ายต่อการหุงต้ม ซึ่งข้าวเจ้าหอมนิลเป็นข้าวที่มีคุณลักษณะของข้าวกล้องดังกล่าว

การบริโภคข้าวกล้องดีอย่างไรการบริโภคข้าวกล้องเป็นวิถีทางหนึ่งของการบริโภคเพื่อสุขภาพ คุณค่าทางอาหารของข้าวอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ดหรือรำที่ขัดออกไป ดังนั้นการบริโภคข้าวกล้องจึงได้รับคุณค่าทางอาหารของข้าวอย่างครบสมบูรณ์ ข้าวที่ขัดขาวสวยน่ารับประทานจึงให้แค่พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเท่านั้นปราศจากคุณทางโภชนาอย่างอื่น สีของข้าวกล้องนอกจากจะสร้างความสะดุดตาแก่ผู้บริโภคแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางด้าน antioxidation อันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดความบกพร่องในร่างกาย รำเป็นสารที่ให้เยื่อใยที่เป็นประโยชน์ (dietary fiber) ซึ่งวงการแพทย์รายงานว่าเยื่อใยเหล่านี้มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และกระเพาะอาหาร ทั้งยังเป็นส่วนช่วยป้องกันการดูดซึมไขมันชนิดอิ่มตัวเข้าสู่กระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี โดยปกติแล้วร่างการเราต้องการเส้นใยอย่างน้อยวันละ 20 กรัม ข้าวกล้อง 100 กรัม มีเยื่อใย 2.1 กรัม ในขณะที่ข้าวมีเพียง 0.7 กรัม

นอกจากนี้ในข้าวกล้องยังอุดมไปด้วยวิตามินบีอีกหลายตัว ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการช่วยการทำงานของระบบประสาท สมอง ทำให้ความจำดี อารมณ์ดี ไม่เครียดง่าย ช่วยในการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยรักษาโรคเหน็บชา วิตามินอีในจมูกข้าวยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เป็นรอยตีนกา ฝ้า กระ ข้ออักเสบ ต้อกระจก หลอดเลือดอุดตัน สาเหตุของโรคหัวใจอัมพาต และโรคมะเร็ง และธาตุเหล็กที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แต่ปัญหาของการบริโภคข้างกล้อง คือ การดูดซึมน้ำเข้าสู่เมล็ดเกิดได้ยากลำบาก ทำให้ข้าวกล้องสุกยาก และแข็ง ไม่เป็นที่น่ารับประทาน ปัจจุบันยังไม่เคยมีแนวคิดในการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการบริโภคข้าวกล้องอย่างจริงจัง

ข้าวเจ้าหอมนิล (Purple Brown Rice) คืออะไร

ข้าวเจ้าหอมนิล เป็นข้าวที่ได้รับการคัดเลือกจนได้ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาว สีม่วงเข้ม ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกจะนุ่มเหนียว หอม ข้าวสารหุงสุกมีสีม่วงอ่อน นุ่ม และมีกลิ่นหอมเช่นกัน คุณสมบัติที่สำคัญของข้าวเจ้าหอมนิล คือ ข้าวกล้องมีโปรตีนสูงถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์ และยังประกอบไปด้วย ธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ นอกจากนี้ลักษณะดีเด่นของข้าวเจ้าหอมนิลที่พบนอกจากคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ ทรงต้นเตี้ย แตกกอดี เมล็ดมีน้ำหนักดี อายุสั้นเพียง 95 วัน ทำให้สามารถปลูกได้ถึง 3 ครั้ง/ปี ดังนั้นหากได้รับการจัดการที่เหมาะสมในการผลิต จะให้ผลผลิตต่อปีสูงกว่าข้าวพันธุ์อื่นๆ ข้าวหอมมะลิสีนิล เป็นข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นลูกผสมระหว่างข้าวสีนิลกับข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ได้จะมีเมล็ดยาว สีม่วงเข้ม และมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเมื่อนำไปหุงแล้วจะได้ข้าวสวยสีม่วงอ่อน ที่นุ่มและหอมมาก

ข้าวหอมมะลิสีนิล มีโปรตีนเป็น 2 เท่าของข้าวหอมมะลิ 105 และยังประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย อาทิเช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง โปแตสเซียม แคลเซียม และวิตามินบีหลายชนิด ในสารสีม่วงของข้าวหอมมะลิสีนิลมีสารประกอบที่สำคัญก็คือ "แอนโทไซยานิน" ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในองุ่นแดงและพรุน โดยที่ข้าวหอมมะลิสีนิลก็มีสารนี้อยู่มากด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบสารอาหารที่มีประโยชน์จำนวนมากที่มีในสีในเมล็ดข้าว ดังนั้นการบริโภคข้าวหอมมะลิสีนิลเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการมีสุขภาพที่ดี สารอาหารที่มีในเมล็ดข้าวนี้มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งกระเพาะอาหาร ป้องกันการดูดซึมไขมันชนิดไม่อิ่มตัว แอนโทไซยานินยังช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นและบำรุงสายตา ป้องกันมะเร็งทรวงอก, มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเม็ดเลือดขาว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอทราบถึงคุณประโยชน์ของข้าวกันแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ควรเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อสุขภาพบ้างนะคะ ด้วยรักและหวังดีค่า ^^

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

One Fine Day (Session II: Final)

มาช้า..ยังดีกว่าไม่มา ตามสัญญาค่ะ ปูเป้จะพาเที่ยว กินเปรี้ยว กันต่อที่สระบุรี



อิ่มอร่อยจากมื้อเที่ยง แล้วอยากดื่มกาแฟสดแกล้มของหวานในบรรยากาศสไตล์อิตาลีท่ามกลางขุนเขา ให้ขับรถไปตามทางเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ ที่ถนนธนะรัชต์ ขับตรงไปเรื่อย ๆ ประมาณ 20 กิโลเมตร จะเจอทางลัดไปมวกเหล็ก (ถ้าไปทางปากช่องจะอยู่ขวามือ) เลี้ยวไปตามทางขับต่อไปอีกประมาณ 2-3 กิโลเมตร ก็จะถึงร้าน Primo Posto del Khaoyai (ของคุณพิษณุ นิลกลัดและผองเพื่อนจุฬาฯ) ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาสถาปัตยกรรมของที่นี่เป็นแบบอิตาลี ตัวตึกมีลายอิฐ สีส้มเหลืองสะดุดตา มีต้นตีนตุ๊กแกที่ขึ้นเลื้อยพันอยู่รอบตัวตึก สวยมีเสน่ห์ไปอีกแบบหลังร้านเป็นไร่องุ่นกว้างใหญ่ มีมุมสวย ๆ ให้กดชัตเตอร์กันมากมาย ซึ่งทางร้านได้เก็บค่าเข้าชมความสวย คนละ 55 บาท แต่สามารถเอาไปแลกซื้อกาแฟภายในร้านได้ ที่สำคัญร้านนี้จะเปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น

นั่งเอกเขนกกันจนหายเมื่อย แล้วขับรถมุ่งหน้าไปชมวิวกันต่อที่ เขื่อนลำตะคอง ระหว่างทางมี ร้านบ้านไม้เขาใหญ่ ร้านขายของแต่งบ้านสวย ๆ ทั้งเฟอร์นิเจอร์งานไม้ เครื่องปั้นดินเผาสไตล์คันทรี่ มีให้เลือกซื้อชม จากนั้นเดินทางไปเที่ยวที่เขื่อนลำตะคองชมวิวริมเขื่อนบรรยากาศร่มรื่น มีสวนริมทางไว้ให้พักผ่อนหย่อนใจ หากใช้เส้นทางถนนมิตรภาพ จะต้องผ่านวิวสวย ๆ ของเขื่อนแห่งนี้แน่นอน เมื่อแดดร่มลมตกแล้ว ออกจากสระบุรี เลี้ยวขวามุ่งสู่โคราช กม. 196 ระหว่างอำเภอปากช่องและเขตอำเภอสี่คิ้วเลี้ยวขวาตรงเข้าไปที่ทางขึ้นเขายายเที่ยงแวะดินเนอร์ยามเย็น ดูพระอาทิตย์ตกดินกันแบบใกล้ชิดที่ ร้านสวนเมืองพร สุดแสนจะโรแมนติกเกินใคร แถมได้ชมวิวอ่างเก็บน้ำลำตะคองที่เป็นภาพกว้างแบบพานอรามาได้อีกมุมหนึ่ง สวนเมืองพรมีเมนูอาหารหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ คือ สเต็กป่าจานร้อนเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง รวมถึงอาหารอีสานทั้งส้มตำปูปลาร้ารสเด็ด ต้มแซ่บหมู แลคอหมุย่างติดมันหน่อย ๆ รับประทานอาหารไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ที่กำลังยอแสงสีทองระบายฟากฟ้ายามเย็นเหนืออ่างเก็บน้ำลำตะคองสุนทรีย์แบบนี้คงหาที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่


ส่วนใครที่ชอบปลูกต้นไม้ สวนเมืองพรยังมีแปลงไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิดให้เลือกซื้อหากันได้ มีรถเข็นไว้บริการให้กับคนที่ซื้อเยอะ ๆ เรียกได้ว่าเป็นซุปเปอร์มาณเก็ตต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ราคาย่อมเยาเลยทีเดียว เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับทริปนี้ นอกจากจะได้กินเที่ยว เปรี้ยวปากกันแล้ว ยังได้ชมวิวทิวทัศน์ที่หลากหลายสไตล์ เอาเป็นว่าเสาร์-อาทิตย์ ถ้าว่างอย่าลืมตามรอยที่เที่ยวออกรสนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

One Fine Day (Session I)

ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นเช่นไร ติดเคอร์ฟิว ไม่ติดเคอร์ฟิว ปูเป้เลยขอนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ ๆ กรุงเทพฯ นะคะ จะได้ไปเช้า..เย็นกลับได้แบบ Chill..Chill ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังค่า ^^


เที่ยวออกรสที่สระบุรี


สระบุรี คือ เส้นทางแห่งความสุขของคนที่ชอบลิ้มลองบรรยากาศสไตล์คันทรี่และรสชาติความอร่อย ซึ่งมีให้เลือกอิ่มเอมตลอดเส้นทาง กลิ่มหอมความยวนใจของอาหารอันโอชะ บวกกับรสชาติและสุนทรียภาพของอาหารตาที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ทำให้หลายคนชอบเดินทางตามกลิ่นหอมนั้นมาถึงที่นี่...


ออกเดินทางกันแต่เช้า แสดงแดดอ่อน ๆ อบอุ่นกำลังดี ขับรถมาบนถนนเส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี เลี้ยวขวาไปทางนครราชสีมา ตรงยาวไปตามถนนมิตรภาพ จะเห็นป้ายเขื่อนป่าสักอยู่ลิบ ๆ จากถนนใหหญ่เลี้ยวตามป้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตามถนนมวกเหล็ก-วังม่วง ระหว่างทางจะผ่านอุโมงค์ต้นไม้ ที่ขึ้นร่มครึ้มปกคลุมสองข้างทาง อุโมงค์ต้นไม้นี้จะโค้งไปตามถนน พาเราไปสู่ขุนเขาอันเขียวขจี อากาศที่นี่บริสุทธิ์จนอดใจไว้ไม่ไหว ต้องลดกระจกลงรับลมเย็น เมื่อถึงหลักกิโลที่ 18-19 จะเจอป้ายใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ทางขวามือ ไร่ปภัสรา กว้างใหญ่ไพศาลกินพื้นที่กว่าเขาสองลูก ส่วนหนึ่งเป็นไร่องุ่นที่ปลูกเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา ส่วนใครที่หลงใหลความงดงามของท่วงท่าอันองอาจและสง่างามของม้าที่ไร่นี้ก็มีบริการขี่ม้าสำหรับผู้ที่ขี่ไม่เป็นเลย รวมทั้งผู้ที่มีความชำนาญระดับมืออาชีพ ฟาร์มม้าของที่นี่ถือเป็นฟาร์มเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย อีกด้านยังมีคอกเลี้ยงนกกระจอกเทศตัวใหญ่ พันธุ์คอสีเทา เดินคอยาวสวนสนามกันไปมาให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม สำหรับใครที่อยากลองของแปลกขี่นกกระจอกเทศเล่นอาจจะต้องอดใจรอสักหน่อย เพราะตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฝึกให้สามารถขี่เล่นได้ ของอร่อยขึ้นชื่อที่พลาดไม่ได้มาแล้วต้องลองชิม คือ น้ำองุ่นสด ๆ รสชาติเยี่ยม หรือพายองุ่นที่กรอบนอกนุ่มในรสชาติกลมกล่อมกำลังดี ใครมาเยื่อนที่นี่จะต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากที่บ้านกันทุกคน


เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงย้อนกลับมาทางถนนมิตรภาพ อำเภอปากช่อง กม.ที่ 148 มีร้านอาหารดังน่าลิ้มลองอยู่อีกร้าน ชื่อ ร้านข้าวสามสี ไม่ต้องกลัวหลงหรือนั่งนับหลักกิโลเพราะจะมีป้ายใหญ่คอยบอกตลอดทาง ใครที่ชอบร้านอาหารบรรยากาศธรรมชาติ ต้องชอบร้านนี้ เพราะทางร้านเน้นความร่มเย็นของแมกไม้เหมือนกำลังทานข้าวอยู่ในสวน ข้างบ้านมีมุมสวย ๆ ไว้ให้ถ่ายภาพ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแบบไทยอย่างข้าวราดแกงที่พิเศษจะเป็นข้าวสวยที่มีสามสี มีข้าวหอมนิล ข้าวกล้องแดง และข้าวหอมมะลิผสมกันได้วิตามินครบถ้วน หอมกรุ่น นุ่มละมุน เมื่อทานคู่กับน้ำพริกกะปิรสแซบ แกล้มกับผักต้ม มะเขือยาวหั่นบาง ๆ ชุบแป้งทอด ซดน้ำแกงเลียงที่ปรุงอย่างถึงเครื่องใส่กุ้งตัวโต และไข่ยัดไส้ รับประทานแล้วอร่อยเหนือคำบรรยาย เครื่องดื่มขึ้นชื่อคือน้ำทับทิมคั้นสด ที่รักษาได้สารพัดโรค มาที่นี่อย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำที่มีสะพานไม้ยาวเชื่อมกับตัวร้าน บรรยากาศยังคงไม่ทิ้งแนวคิดแบบเดิม คือ ใกล้ชิดธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อมมีที่นั่งรอคิวเข้าห้องน้ำแบบเก่ ผนังประดับด้วยกระจกสีตกแต่งให้ดูโปร่ง บริเวณอ่างล้างมือ

พักเที่ยงกันก่อนนะคะ >o< แล้วปูเป้จะรีบนำภาคต่อช่วงบ่ายของที่เที่ยวออกรสมาให้อ่านต่อค่ะ คอยติดตามนะคะว่าจะออกรสแค่ไหน ^^


วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

Punch..ได้ยินก็ชื่นใจ



มาแล้ว..มาแล้วค่ะ วันนี้ปูเป้ขอนำเสนอกิจกรรมเสริมสร้างสีสันให้กับชีวิตในวันหยุดพักผ่อนกับ "น้ำพั้นช์" ที่ได้ยินแล้วก็ชื่นใจ หากได้ลิ้มลองแล้วคงชื่นจิต และถ้าได้ทำเองแล้วล่ะก็ขอบอกว่าสุโค้ย หุ..หุ เอาเป็นว่าเรามาอ่านเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของน้ำพั้นช์พอเป็นกระสัยและอ่านขั้นตอนทำง่าย ๆ ก่อนลงมือปฏิบัติกันนะคะ

พั้นช์ Punch ลักษณะการผสมส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีการเดียวกับการผสมค็อกเทล Cocktail เพียงแต่ว่าจะเน้นที่รสชาติความสดของเนื้อผลไม้ โดยส่วนใหญ่พั้นช์จะนิยมผสมเนื้อและน้ำผลไม้ กับน้ำเชื่อมรสต่าง ๆ และอาจจะผสมแอลกอฮอล์ด้วยก็ได้ จุดนี้ทำให้แตกต่างจากม็อกเทล Mocktail เพราะม็อกเทลจะต้องไม่แอลกอฮอล์ผสมอยู่เลยน่ะค่ะ เครื่องดื่มประเภทพั้นช์ หรือ พั้นช์ผลไม้ ก็จัดอยู่ในเครื่องดื่มม็อกเทลด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่า คำว่า "พั้นช์" ไม่ได้มีความหมายเจาะจงเหมือนม็อกเทล เพราะน้ำพั้นช์บางตัวก็อาจจะใส่เหล้าเข้าไปด้วยก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นม็อกเทลจะต้องไม่มีเหล้าผสมอยู่ด้วยเลย

Punch เกิดขึ้นเมื่อคริตส์ศตวรรษที่ 18 ในทวีปยุโรปทางตอนเหนือ ที่ประเทศสวีเดน โดยนำเหล้ารัมมาผสมรวมกับเครื่องเทศสมุนไพร อบเชย กานพลู ที่มีกลิ่นหอม รสหวาน ต่อมาก็นำมาผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆ รวมถึงน้ำเชื่อมด้วย จนเป็นที่นิยมดื่มกันทั่วไป ดื่มเพื่อคลายร้อน รสหวานอร่อย ดื่มง่าย ต่อมาในคริตส์ศตวรรษที่ 19 ก็นิยมทำเหล้าพั้นช์ขายกันมากขึ้น โดยใช้เหล้ารัมผสมผลไม้ต่างๆ

เครื่องดื่มน้ำผลไม้ พั้นช์ Punch มีรากศัพท์มาจากคำว่า ปัญจ Panch ภาษาฮินดู หรือปั้นช์ นั่นเอง หมายถึงการนำส่วนผสม 5 อย่างมาผสมกัน อันได้แก่ น้ำตาลทรายหรือน้ำเชื่อม , เหล้า , น้ำมะนาว , น้ำ และเครื่องเทศ นับได้ว่าเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่เก่าแก่มา โดยส่วนใหญ่เหล้าที่ใช้มาผสมพั้นช์ คือ เหล้ารัม



PUNCH & FRUIT PUNCH RECIPES (สูตรพั้นช์ผลไม้)

Fruit Punch

- Orange Juice 1 J.

- Pineapple Juice 1 J.

- Lemon Juice 1 J.

- Sugar Syrup 3/4 J.

- Red Syrup 1/2 J. (ใส่แต่งสี)

- Soda

- Water Melon , Pineapple , Orange , Lemon เอาเนื้อมาสับให้ละเอียด

วิธีผสม ใช้วิธีการคนผสมให้เข้ากัน ใส่โซดาพอแค่ให้ซ่าเล็กน้อย

Tip. ใส่เหล้าหวาน Triple sec ลงไปน้อยจะเพิ่มรสชาติอร่อยขึ้น



เป็นอย่างไรกันบ้างคะไม่ยากเลยใช่มั๊ยคะ สำหรับน้ำพันช์แก้วนี้สำหรับคุณและคนพิเศษ แต่อ่านสูตรหลายคนคงงงกับ J ว่ามันคืออะไร ไม่ต้องงงนะคะ ปูเป้มีคำขยายค่ะ J. คือ จิก. หรือ ที่เรียกว่าจิกเกอร์ โดยขนาด 1J. = 1.50 Oz. = 44.38 ml. หรือถ้าไม่มีถ้วยจิกก็สามารถตัดทอนสัดส่วนได้เลยนะคะ เพราะการทำน้ำพั้นช์นั้นง่ายมั่กมากค่า ปูเป้รับรอง









วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ร้อนหนัก..ก็พักหน่อย Relax on Summer


..ช่วงนี้อากาศบ้านเราเริ่มร้อนขึ้นทุกวัน พอร้อนอย่างนี้หลายคนคงคิดถึงท้องทะเลสีคราม ท้องฟ้าสวยใสกันใช่มั๊ยคะ วันนี้ปูเป้เลยขอแนะนำ Trip 2 วัน 1 คืน ที่ทะเลไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพฯ นั่นก็คือ หัวหิน (Hua Hin)โดยขออนุญาตหยิบข้อความ "ความทรงจำดีดีที่หัวหิน" มาให้อ่านกันนะคะ เพื่อว่าหลายคนจะลองใช้โปรแกรมนี้ช่วยคลายร้อน..



เมื่อรู้ว่าจะต้องตื่นแต่เช้า ออกเดินทางไปหัวหิน เมืองชายทะเลที่แสนคลาสสิกแห่งนี้ยังคงมีมนต์เสมอ เพราะหัวหินมีอะไรให้ทำไม่เคยซ้ำกันเลยสักวัน มาครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหน ๆ เพราะจากปกติที่เคยแวะทานมื้อเที่ยงเป็นข้างแกงร้อน ๆ เจ้าเด็ดแถวเขาน้อย แต่คราวนี้ลองขับรถเลี้ยวซ้ายเข้าเมืองเพชรแวะชิม ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เจ๊กอ๋า สูตรน้ำแดงต้นตำรับของชาวเพชรบุรีกันบ้าง เพราะเห็นร่ำลือกันมานานถึงความอร่อย ขอบอกว่าไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแบบธรรมดาแน่นอน เพราะในชามยังมีน้ำซุปหอมกรุ่นกับเนื้อเปื่อยที่แสนนุ่ม ที่สำคัญจะให้สมชื่อสูตรเมืองเพชร ต้องเหยาะซอสพริกลงไปด้วย ส่วนใครที่ไม่ถนัดทานเนื้อถัดไปร้านข้าง ๆ ร้านล้านสตางค์ มีก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำแดงสูตรโบราณให้ลองชิมกัน ก่อนเดินทางถึงตัวเมืองหัวหิน หยุดซึมซับความหวานและความหลังของ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระตำหนักที่ประทับริมทะเลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนไม้สองชั้น โปร่ง รับแสงแดดหันหน้าออกสู่ทะเล มีทางเดินเชื่อมกันตลอดทุกส่วน ทุกห้วงทำนองที่ได้เดินรับลมชมวังแห่งนี้ รู้สึกสบายและคิดถึงภาพความงามในอดีตที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา ยามบ่ายเติมความสดชื่นด้วยลาเต้เย็น ๆ กับเค้กอร่อยที่ บ้านใกล้วัง บนถนนแนบคฤหาสน์ ร้านเค้กโฮมเมดที่ขึ้นชื่อของหัวหินเลยเชียว โดยเฉพาะเชอร์รี่เค้ก ที่มีเชอร์รี่ลูกโต ๆ วางบนเค้กวนิลา และที่พลาดไม่ได้คือ พุดดิ้งช็อคโกแลต ลักษณะเป็นเค้กช็อคโกแลต มีช็อคโกแลตพุดดิ้งร้อน ๆ ละลายอยู่ตรงกลางด้านในแทบจะไม่ต้องเคี้ยว เพราะอร่อยเหลือเกินจริง ๆ คืน คืนแรกแวะเก็บกระเป๋าเข้าที่พักที่ รีรา รีสอร์ท รีสอร์ทขนาดเล็กน่ารักในตัวเมืองมีบ้านพักสีขาว 6 หลังทุกหลังมีชื่อที่คล้องจองกัน เช่น เรือนรัก เรือนรอ เรือนเรา และเรือนอุ่น ถึงแม้จะไม่ติดริมทะเล แต่ความพิเศษของที่นี่คือ ยินดีต้อนรับเจ้าสุนัขตัวโปรด ปิดท้ายวันแรกด้วยผัดไทยกับหมูสะเต๊ะเจ้าอร่อยในตลาดโต้รุ่งหัวหิน ว่าไปแล้วใครที่มาหัวหิน ตลาดโต้รุ่ง คือหนึ่งในสถานที่ที่ขาดไม่ได้จริง ๆ นอกจากจะมีอาหารอร่อย ยังมีโรตีแขกดั้งเดิม ไอศครีมกะทิชื่อดัง และร้านขายของฝากอีกมากมาย แทบจะเรียกได้ว่า ตลาดนี้เป็นสีสันยามราตรี และครองใจนักท่องเที่ยวได้อย่างเหนี่ยวแน่นและยาวนาน


เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยก๋วยเตี๋ยวเป็ดเส้นนุ่มเนื้อหนาที่ ร้านคุณเอก (เจ้าเก่า) ที่นี่เค้าอร่อยแบบเชลล์ไม่ต้องชิม แนะนำให้ทานก๋วยเตี๋ยวแบบแห้ง และเคียงด้วยน้ำซุปร้อน ๆ หรือจะเป็นข้าวหน้าเป็ดราดน้ำพะโล้ก็อร่อยสุด ๆ เลยร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดไปไม่ไกล บนถนนเพชรเกษมจะเจอร้านขนมหวานของฝากชื่อ ร้านแม่เก็บ ขนมที่นี่เค้ากวนสด ๆ ขายกันวันต่อวัน ตะโก้ซ่อนลูก เป็นขนมที่แนะนำให้ไปซื้อก่อนเที่ยงมิเช่นนั้นจะหมดภายในพริบตา เม็ดขุนไส้เผือกกวนด้วยเผือกร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื้อเนี่ยนนุ่มหอมมัน หรือ ข้าวฟ่างกวน เป็นขนมของคนใต้ที่หาทานได้ยากรับรองซื้อขนมร้านนี้ ครบเครื่องเรื่องความสดใหม่ แถมความอร่อยติดดาว เดินทางกันต่อเพียงครึ่งชั่วโมงจากเมืองหัวหิน ขับรถเรียบริมชายหาดปราณบุรี ทะเลปราณวันนี้ยังคงสงบเงียบ มีบูติกรีสอร์ทเก๋ ๆ สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน รวมไปถึงบ้านพักตากอากาศริมทะเลน่ารัก ที่เรียงรายตามทิวมะพร้าว หากขับตรงไปยังทิศใต้ จะเป็นชายหาดทอดยาวไปจนจรด วนอุทยานท้าวโกษา (เขากะโหลก) ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมชายเขาในส่วนที่ยื่นลงไปในทะเล มีถ้ำขนาดเล็กให้เข้าไปผจญภัยพอหอมปากหอมคอ รองท้องด้วยส้มตำและไก่เหลืองที่ร้านรถเข็นหน้าเขากะโหลก ไก่เนื้อนุ่ม ย่างจากเตาร้อน ๆ พร้อมสั่งส้มตำนั่งทานริมหาดได้บรรยากาศครบรสริง ๆ หลังจากนั้นเลยไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เมื่อได้เข้าไปในเขตอุทยานฯ ภาพที่เห็นเบื้องหน้า คือ ภูเขาหินปูนสูงสลับซับซ้อนด้านล่างมีนากุ้ง และเป็นที่อาศัยของนกชายทะเลนานาชนิด แวะชมวิวชายทะเลที่หาดสามพระยา เป็นหาดทรายที่ขาวสะอาด ร่มรื่นด้วยแนวสนทอดยาว 1 กิโลเมตรเลยหาดสามพระยาไปไม่ไกล แวะเยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวประมงและกินปูสดที่ ถ้ำไทรซีฟู้ด ร้านอาหารนี้นอกจากจะมีกุ้ง หอย ปู ปลาสดแล้ว ยังมีผักชะคราม ผักพื้นถิ่นหาทานได้เฉพาะที่นี่ นำมาผัดมีรสชาติเค็มมัน อร่อยจนคนในวังติดใจ มาทีไรก็ต้องสั่งแต่ผัดผักจานนี้ จนได้ขึ้นชื่อเป็น ผัดผักชาววังไปซะแล้ว บริเวณถนนหน้าถ้ำไทรจะเป็นชุมชนของชาวประมง ยามเย็นจะเห็นเรือหาปลาลากอวนกลับขึ้นฝั่งมาพร้อมกับอาหารสด ๆ แม่บ้านและลูกเด็กเล็กแดงช่วยกันลำเลียงอุปกรณ์เลี้ยงชีพขึ้นบ้านและหุงหาข้าวปลาอาหาร เป็นภาพที่น่ารักไปอีกแบบ



อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากจะไปหัวหินแล้วมั้งคะ เอาเป็นว่าบทความครั้งนี้ขอนำเสนอเพียงเท่านี้นะคะ ไว้คราวหน้าปูเป้จะหาบทความดี ๆ หรือ กิจกรรมง่าย ๆ มาให้อ่าน หรือ ลองทำดูนะคะ เพื่อแต่งแต้มสีสันวันหยุดพักผ่อนให้กับคุณ^^